กษัตริย์คือตำแหน่งผู้ปกครองสูงสุดในแต่ละพื้นที่หรือดินแดนต่างๆ ตั้งแต่ช่วงก่อนศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ซึ่งด้วยตำแหน่งที่มีอำนาจมากทำให้เกิดการแย่งชิงอำนาจกัน รวมถึงการแอบอ้างเป็นกษัตริย์อีกด้วย ซึ่งแม้เคสหลังนี้จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จ แต่ก็มีบางคนที่ประสบความสำเร็จและได้ขึ้นเป็นใหญ่เหนือแผ่นดินนั้น ซึ่งพระเจ้าซาร์ดิมิตรีที่ 1 ก็เป็นหนึ่งในนั้น ถ้าอยากรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไรต่อ ติดตามอ่านได้ต่อจากนี้เลยครับ
หลังการสวรรคตของพระเจ้าซาร์อีวานที่ 4 บัลลังก์รัสเซียตกอยู่ภายใต้ตระกูลขุนนางและผู้มีอำนาจต่างๆ และหลังจากการสวรรคตของพระเจ้าซาร์ฟีโอดอร์ที่ 1 ที่มีความผิดปกติทางจิต บัลลังก์รัสเซียก็ตกไปอยู่กับ บอริส โกดูนอฟ ผู้เป็นพี่เขยของซาร์ฟีโอดอร์ และการขึ้นครองราชย์ของบอริสก็นำไปสู่ความวุ่นวายทั่วทั้งอาณาจักร ซึ่งถูกเรียกขานว่า "ช่วงแห่งความวุ่นวาย"
พระเจ้าซาร์บอริส โกดูนอฟ |
ตลอดช่วงสมัยแห่งความวุ่นวาย นอกจากจะมีการแบ่งขั้วอำนาจภายในราชสำนักแล้ว เครือจักรภพโปแลนด์ ก็พยายามเข้าแทรกแทรงรัสเซียอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเกิดเป็นสงครามขึ้นในปี 1605 ซึ่งในช่วงนั้นชายคนหนึ่งนามว่า เกรกอรี โอเทพีฟ (Grigory Otepiev) ก็เริ่มมีบทบาทขึ้นกับทั้งรัสเซียและโปแลนด์
เกรกอรี โอเทพีฟ เป็นลูกชายของชาวนาแถบชนบทที่ห่างไกล ซึ่งเขาไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตอย่างนั้น ก็เริ่มหนีมาบวชเป็นนักบวช ในเมืองที่อยู่ใกล้ๆกับกรุงมอสโก ซึ่งในที่นั่นเขาได้ประกาศตัวว่าเขาคือ "ซาเรวิชดมิตรีแห่งอูกริช" และอ้างสิทธิเหนือราชบัลลังก์รัสเซีย ซึ่งบาทหลวงในโบสถ์แห่งนั่นก็ไม่เชื่อแน่นอน เขาถูกกล่าวหาว่าสติไม่ดี และเขาต้องระหกระเหินหนีไปอีกครั้ง
ขอย้อนไปก่อนหน้านั้นนิดหน่อย ถึงเรื่องที่ว่าซาเรวิชดมิตรีแห่งอูกริชคือใคร ซาเรวิชดมิตรีแห่งอูกริช คือพระราชโอรสพระองค์เล็กของพระเจ้าซารือีวานที่ 4 กับ พระนางมาเรีย นากายา ประสูติเมื่อปี 1582 โดยสาเหตุที่ทำให้มีคนแอบอ้างเป็นตัวท่านก็เพราะ การสวรรคตอย่างเป็นปริศนาของเจ้าชาย ที่ทางราชสำนักประกาศต่อตระกูลนากายาว่าเจ้าชายทรงถือมีดอยู่แล้วเป็นโรคลมชัก มีดเลยเผลอปาดคอตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าการตายแบบนี้มันแปลกๆอยู่ ทำให้ทางตระกูลนาตายาไม่เชื่อ และกล่าวหาว่าโกดูนอฟ เป็นผู้สังหารรัชทายาทที่มีสิทธิในการขึ้นครองราชบัลลังก์อย่างถูกต้อง ซึ่งจากเรื่องนี้เองทำให้พระนางมาเรีย นากายา ถูกราชสำนักสั่งให้ออกบวชชี
ซาเรวิชดมิตรีแห่งอูกริช |
กลับเข้ามาเรื่องของเรา เกรกอรี โอเทพีฟ ที่หนีออกจากเมืองไป ได้เข้าสู่เขตเมืองโปแลนด์ ซึ่งตอนนันเขายังประกาศว่าตนเองคือ ซาเรวิชดมิตรีแห่งอูกริช ซึ่งสามารถรอดจากการปลงพระชนม์ได้จากความช่วยเหลือตากหมอผู้จงรักภัคดี และได้หลบซ่อนอยู่ตามโบสถ์ต่างๆ แต่เรื่องราวกลับเริ่มพลิกขึ้นเมื่อ นายคนนี้ดันมีหน้าตายคล้ายกับซาเรวิชดมิตรีแห่งอูกริชตัวจริง แถมยังสามารถพูดได้หลายภาษาอีก ทำให้มีคนสนับสนุนเขามากขึ้น รวมถึงราชสำนักโปแลนด์ที่กำลังมีเรื่องกับรัสเซียอยู่ ก็สนับสนุนเขาในการขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย เพื่อการครอบงำรัสเซียของโปแลนด์
การขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าซาร์(ตัวปลอม)ดิมิตรีที่ 1 |
พระเจ้าซิกมุนด์ที่ 3 วาซา แห่งโปแลนด์ เรียกตัวเขาเข้าพบในปี 1605 เพื่อทำการสนับสนุนทางด้านการเงินและทหารกับตัวเขา พร้อมกับราชาภิเษกเข้าขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งรัสเซีย พร้อมกันนั้นเขาก็ไก้แต่งงานกับ มารีนา มนิชเชค ธิดาของขุนนางชาวโปแลนด์ ที่ทำการสนับสนุนตัวพระองค์เพื่อทำการชิงราชสมบัติมาจากพระเจ้าซาร์บอริส โกดูนอฟ
เมื่อพระเจ้าซาร์บอริส โกดูนอฟสววรคตไปในเดือนเมษายนปี 1605 พระราชโอรสของพระเจ้าซาร์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าซาร์ฟีโอดอรืที่ 2 ในเวลาเดียวกัน ทำให้ในตอนนั้นรัสเซียเลยอ่อนแอจากการพึ่งผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน และพระเจ้าซาร์ที่ยังคงอ่อนประสบการณ์ก็ทำให้ดิมิตรียกทัพอันมีโปแลนด์สนับสนุนมาชิงบัลลังก์จากพระเจ้าซาร์ฟีโอดอร์ที่ 2 พระเจ้าซาร์องค์น้อยไม่สามารถต้านอำนาจของดิมิตรีได้ จึงถูกถอดราชสมบัติและถูกสังหารในเวลาต่อมา
เมื่อสิ้นฟีโอดอร์ ดิมิตรีก็ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าซาร์ดิมิตรีที่ 1 แห่งรัสเซีย ซึ่งเขาได้รับการยอมรับจากขุนนางดั้งเดิมของรัสเซียอย่างตระกูลชูสกี ซึ่งประกาศต่อหน้าสาธารณชนอย่างยิ่งใหญ่ว่า ดิมิตรีผู้นี้คือ ซาเรวิชดมิตรีแห่งอูกริช พระราชโอรสในพระเจ้าซาร์อีวานที่ 4 จริง หาได้ใช่ผู้แอบอ้างว่าเป็นท่านซาเรวิช ซึ่งเพื่อความน่าเชื่อถือทางขุนนางจึงบังคับให่พระนางมาเรีย นากายาที่เป็นแม่แท้ๆของซาเรวิชดมิตรีแห่งอูกริชมาบอกประกาศว่าเขาคือลูกของตนจริงๆ ไม่ใช่คนแสดง(แม้ในใจจริงจะรู้ว่าลูกของพระนางตายไปนานแล้วก็ตาม)
ในตอนแรกนั้นพระเจ้าซาร์ดิมิตรีตัวปลอมนี้ได้รับความนิยมจากทั้งขุนนางและประชาชนชาวรัสเซียเป็นอย่างมาก ไปที่ไหนใครก็ต้อนรับ แต่ด้วยความสัมพันธ์กับทางโปแลนด์ที่ทำให้พระองค์ขึ้นมามีอำนาจเหนือรัสเซียได้นั้น ทำให้อิทธพลของโปแลนด์ในรัสเซียเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงจำนวนขุนนางชาวโปแลนด์ก็เพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้เกิดกระแสการต่อต้านในหมู่ขุนนางรัสเซีย และก็กระทบกระเทือนกันอย่างรุนแรงเมื่อขุนนางชาวโปแลนด์แนะให้พระเจ้าซาร์เปลี่ยนนิกายคริสตศาสนาของรัสเซียจากออทอดอกซ์มาเป็นโรมันคาทอลิก ซึ่งนำไปสู่ความไม่พอใจเป็นจำนวนมากในหมู่ขุนนางรัสเซีย นำไปสู่การต่อต้านในตัวของพระเจ้าซาร์ในที่สุด
ตระกูลซุยสกีและเหล่าขุนนางที่เคยเข้าร่วมกับดิมิตรี ในการชิงอำนาจจากพระเจ้าซาร์ฟีโอดอร์ที่ 2 เริ่มหันมาต่อต้านดิมิตรี หลังเริ่มเห็นแล้วว่าเขาทำให้รัสเซียกลายไปเป็นลูกไล่ให้กับทางโปแลนด์ ได้เริ่มวางกำลังพลเพื่อต่อต้านดิมิตรีอย่างลับๆ ไปจนกระทั่งวันที่ 17 พฤษภาคม 1606 เหล่าขุนนางโบยาร์นำกองกำลังบุกพระราชวังเครมลิน ซึ่งในตอนนั้นดิมิตรีแทบจะไม่ได้ตั้งตัวอะไรเลย และไม่สามารถรู้ถึงการกบฎของเหล่าขุนนางด้วย ทำให่ดิมิตรีต้องหนีหัวซุกหัวซุนออกจากราชวัง แต่เหล่ากบฎก็ได้ปิดทางเข้าออกไว้ทั้งหมด ดิมิตรีที่รู้สึกจนตรอกจึงกระโดดหน้าต่างเพื่อเอาชีวิตรอด แต่อนิจจาการกระโดดลงมาจากหน้าต่างๆ ทำให้เขาขาหัก ไม่สามารถหนีไปได้ไกล ทำให้ถูกขุนนางจับได้ ก่อนจะถูกขุนนางลุมสังหารต่อหน้าฝูงชนมากมายในกรุงมอสโก
โดยก่อนที่ดิมิตรีจะถูกสังหาร พระนางมาเรีย นากายา ที่เป็นพระมารดาของซาเรวิชดมิตรีแห่งอูกริช ประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่า ดิมิตรีนายนี้นั้นไม่ใช่ดิมิตรีที่เป็นพระราชโอรสของพระนาง แต่เป็นตัวปลอมที่แอบอ้างชื่อของซาร์ จากนั้นดิมิตรีก็ถูกสังหาร ก่อนจะถูกเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่าน แต่ยังไม่พอแค่นี้ขุนนางรัสเซียได้ทำการยิงเถ้าถ่านของดิมิตรีโดยใช้ปืนใหญ่หันหน้าไปทางโปแลนด์ เพื่อเป็นนัยบอกว่าเอาหุ่นเชิดของเมิงกับคืนไปประมาณนั้น(ขออภัยที่ใช้คำหยาบ)
หลังจากที่ดิมิตรีตัวปลอมตายไป หาได้ใช่ว่ายุคสมัยแห่งความวุ่นวายนี้จะจบ เพราะยังมีผู้แอบอ้างเป็นดิมิตรีอีก 2 คน แต่ก็ไม่มีดิมิตรีคนไหนเลยที่สามารถไปได้จนถึงซาร์ผู้ปกครองอาณาจักรรัสเซีย และยุคสมัยแห่งความวุ่นวายก็ดำเนินไปจนกระทั่งราชวงศ์โรมานอฟถือกำเนิดขึ้นในปี 1613
พระเจ้าซาร์ดิมิตรีที่ 1 มีอำนาจในรัสเซียเป็นเวลา 11 เดือน ตั้งแต่ปี 1605 ไปจนถึงปี 1606
ถ้าผิดพลาดประการใด ผู้ทำก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และสามารถช่วยเสริมความถูกต้องได้ในคอมเม้นต์นะครับ
ถ้าชอบบทความของเราอย่าลืมคอมเม้น กดติตตามหรือกดแชร์บทความของเรานะครับ
สนับสนุนผู้ทำบทความได้้ที่ TrueMoney Wallet 0642303213 (ขอขอบพระคุณมากครับ)
อ้างอิง
False Dmitry I(2018). จากhttps://en.wikipedia.org
Dmitri of Uglich and the Three False Dmitris: One of the Most Bizarre Episodes in Russian History(2015). จากhttps://www.ancient-origins.net
Dmitri The Three Pretenders(2012). จากhttps://www.hoboctn.ru
เพจFacebook : ประวัติศาสตร์ สถาบันกษัตริย์
เมื่อพระเจ้าซาร์บอริส โกดูนอฟสววรคตไปในเดือนเมษายนปี 1605 พระราชโอรสของพระเจ้าซาร์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าซาร์ฟีโอดอรืที่ 2 ในเวลาเดียวกัน ทำให้ในตอนนั้นรัสเซียเลยอ่อนแอจากการพึ่งผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน และพระเจ้าซาร์ที่ยังคงอ่อนประสบการณ์ก็ทำให้ดิมิตรียกทัพอันมีโปแลนด์สนับสนุนมาชิงบัลลังก์จากพระเจ้าซาร์ฟีโอดอร์ที่ 2 พระเจ้าซาร์องค์น้อยไม่สามารถต้านอำนาจของดิมิตรีได้ จึงถูกถอดราชสมบัติและถูกสังหารในเวลาต่อมา
เมื่อสิ้นฟีโอดอร์ ดิมิตรีก็ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าซาร์ดิมิตรีที่ 1 แห่งรัสเซีย ซึ่งเขาได้รับการยอมรับจากขุนนางดั้งเดิมของรัสเซียอย่างตระกูลชูสกี ซึ่งประกาศต่อหน้าสาธารณชนอย่างยิ่งใหญ่ว่า ดิมิตรีผู้นี้คือ ซาเรวิชดมิตรีแห่งอูกริช พระราชโอรสในพระเจ้าซาร์อีวานที่ 4 จริง หาได้ใช่ผู้แอบอ้างว่าเป็นท่านซาเรวิช ซึ่งเพื่อความน่าเชื่อถือทางขุนนางจึงบังคับให่พระนางมาเรีย นากายาที่เป็นแม่แท้ๆของซาเรวิชดมิตรีแห่งอูกริชมาบอกประกาศว่าเขาคือลูกของตนจริงๆ ไม่ใช่คนแสดง(แม้ในใจจริงจะรู้ว่าลูกของพระนางตายไปนานแล้วก็ตาม)
พระเจ้าซาร์(ตัวปลอม)ดิมิตรีที่ 1 |
ตระกูลซุยสกีและเหล่าขุนนางที่เคยเข้าร่วมกับดิมิตรี ในการชิงอำนาจจากพระเจ้าซาร์ฟีโอดอร์ที่ 2 เริ่มหันมาต่อต้านดิมิตรี หลังเริ่มเห็นแล้วว่าเขาทำให้รัสเซียกลายไปเป็นลูกไล่ให้กับทางโปแลนด์ ได้เริ่มวางกำลังพลเพื่อต่อต้านดิมิตรีอย่างลับๆ ไปจนกระทั่งวันที่ 17 พฤษภาคม 1606 เหล่าขุนนางโบยาร์นำกองกำลังบุกพระราชวังเครมลิน ซึ่งในตอนนั้นดิมิตรีแทบจะไม่ได้ตั้งตัวอะไรเลย และไม่สามารถรู้ถึงการกบฎของเหล่าขุนนางด้วย ทำให่ดิมิตรีต้องหนีหัวซุกหัวซุนออกจากราชวัง แต่เหล่ากบฎก็ได้ปิดทางเข้าออกไว้ทั้งหมด ดิมิตรีที่รู้สึกจนตรอกจึงกระโดดหน้าต่างเพื่อเอาชีวิตรอด แต่อนิจจาการกระโดดลงมาจากหน้าต่างๆ ทำให้เขาขาหัก ไม่สามารถหนีไปได้ไกล ทำให้ถูกขุนนางจับได้ ก่อนจะถูกขุนนางลุมสังหารต่อหน้าฝูงชนมากมายในกรุงมอสโก
พระนางมาเรีย นากายา ประกาศว่าดิมิตรีนายนี้ไม่ใช่ลูกของตน |
หลังจากที่ดิมิตรีตัวปลอมตายไป หาได้ใช่ว่ายุคสมัยแห่งความวุ่นวายนี้จะจบ เพราะยังมีผู้แอบอ้างเป็นดิมิตรีอีก 2 คน แต่ก็ไม่มีดิมิตรีคนไหนเลยที่สามารถไปได้จนถึงซาร์ผู้ปกครองอาณาจักรรัสเซีย และยุคสมัยแห่งความวุ่นวายก็ดำเนินไปจนกระทั่งราชวงศ์โรมานอฟถือกำเนิดขึ้นในปี 1613
พระเจ้าซาร์ดิมิตรีที่ 1 มีอำนาจในรัสเซียเป็นเวลา 11 เดือน ตั้งแต่ปี 1605 ไปจนถึงปี 1606
ถ้าผิดพลาดประการใด ผู้ทำก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และสามารถช่วยเสริมความถูกต้องได้ในคอมเม้นต์นะครับ
ถ้าชอบบทความของเราอย่าลืมคอมเม้น กดติตตามหรือกดแชร์บทความของเรานะครับ
สนับสนุนผู้ทำบทความได้้ที่ TrueMoney Wallet 0642303213 (ขอขอบพระคุณมากครับ)
อ้างอิง
False Dmitry I(2018). จากhttps://en.wikipedia.org
Dmitri of Uglich and the Three False Dmitris: One of the Most Bizarre Episodes in Russian History(2015). จากhttps://www.ancient-origins.net
Dmitri The Three Pretenders(2012). จากhttps://www.hoboctn.ru
เพจFacebook : ประวัติศาสตร์ สถาบันกษัตริย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น