ค้นหาบล็อกนี้

28/9/62

จากประธานาธิบดี 2 สมัย สู่ทรราชหลังเสียงนิยมของประชาชน ระบบมาร์กอส เผด็จการแห่งฟิลิปปินส์





  หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 มาฟิลิปปินส์อยู่ภายใต้การดูแลของสหรัฐมาชั่วระยะหนึ่ง ในฐานะลูกรักของสหรัฐตั้งแต่ช่วงก่อนสงคราม แต่ถึงกระนั้นระบอบการเมืองของฟิลิปปินส์ไม่ได้แข็งเหมือนความสัมพันธ์ที่มีต่อสหรัฐอเมริกา เพราะตั้งแต่ประธานาธิบดีคนแรกหลังสงครามอย่าง มานูเอล โรฮัส ไปจนถึงสมัย ดิออสดาโด มากาปากัล ไม่มีใครที่สามารถต่ออายุไปจนถึงสมัยที่สองได้ และจบลงในวาระแรกไม่ก็ต้องจบการปกครองไปก่อนที่จะหมดวาระอีก

  ในขณะเดียวกันแม้ฟิลิปปินส์ในตอนนั้นจะมีสภาพเศรษฐกิจดีเป็นอันดับต้นๆของเอเชียก็ตาม แต่สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด ระบบโครงสร้างพื้นฐานตามเมืองหลวงยังไม่พัฒนา ก็คงไม่ต้องพูดถึงชนบท ที่บางทีไฟฟ้าหรือน้ำประปายังเข้าไม่ถึง ซึ่งปัญหาเรื่องระบบโครงสร้างพื้นฐานในตอนนั้นเป็นประเด็นปัญหาที่ควรแก้ไขเป็นอย่างยิ่งในตอนนั้น แต่ไม่มีประธานาธิบดีคนไหนจะเข้ามาแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง และนั่นก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คะแนนนิยมของแต่ละคนไม่พอที่จะสามารถส่งตัวเองเข้าสู่วาระที่สองได้


 แต่ในขณะเดียวกันชื่อของ เฟอร์ดินันท์ มาร์กอส ก็เริ่มแพร่กระจายเข้าสู่หูของคนหลายคนมากขึ้นในชั่วเวลาอันสั้น

ทำไมมาร์กอสถึงเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้น

   เดิมทีมาร์กอสก็เป็นเพียงแค่นักการเมืองธรรมดาๆเท่านั้น แต่เขาเป็นคนที่ค่อนข้างที่จะมีความทะเยอทะยาน ในตอนแรกนั้นเขาได้สังกัดอยู่ในพรรคเสรีนิยมฟิลิปปินส์ (Liberal Party) ในตอนที่ความนิยมในตัวของดิออสดาโด มากาปากัล กำลังตกต่ำอยู่นั้น เขาได้ขอกับทางพรรคให้เสนอชื่อของเขาเพื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไป แต่ว่าทางผู้นำระดับสูงของพรรคยังเชื่อใจในตัวมากาปากัลอยู่ และนั่นทำให้ชื่อของเขาไม่ได้ถูกเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในนามของพรรคเสรีนิยม แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดความทะเยอทะยานของเขา เขายังคงอยากที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ทำให้เขานั้นได้ลาออกจากพรรคเสรีนิยมและหันหน้าเข้าสู่ขั้วตรงข้ามของพรรคเสรีนิยมนั่นก็คือ พรรคนาซิโอนาลิสตา (Nacionalista Party) ซึ่งในที่นั่นเขาก็สามารถไขว่่คว้าตำแหน่งแคนดิเดตประธานาธิบดีได้อย่างไม่ยากเย็นนัก 

    แน่นอนว่าแม้จะเป็นผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคได้แล้ว แต่ถ้าประชาชนไม่เลือกมันก็เปล่าประโยชน์ แลละนั่นก็ทำให้เขาได้เริ่มออกหาเสียง และปราศรัยตามที่ต่างๆ โดยชูนโยบายที่ค่อนข้างเป็นนโยบายประชานิยมอย่างมาก และที่สำคัญนอกจากนโยบายประชานิยมก็คือนโยบายการพัฒนะระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกปล่อยทิ้งมาอย่างยาวนานแล้วตามพื้นที่ชนบท แต่ว่านอกจากนโยบายที่กล่าวมาข้างต้นแล้วอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ฐานเสียงของเขามากขึ้นตามไปด้วยก็คือ หญิงที่มีชื่อว่า อิเมลดา มาร์กอส ภรรยาคนเดียวของเฟอร์ดินันท์ มาร์กอสนั่นเอง

เฟอร์ดินันท์ มาร์กอส ถ่ายคู่กับ อีเมลดา มาร์กอสในงานแต่งงานของพวกเขา 
    เดิมนั้นอีเมลดา เป็นเพียงนางงามที่ไม่ค่อยมีชื่อชั้นอะไรมากนัก แต่มีรูปร่างผอมสูงและค่อนข้างที่จะสวยมากในสมัยนั้น ส่วนในแวดวงนางงามนั้นแม้จะไม่เคยได้แชมป์อะไร แต่เธอก็มีฉายาเป็นของตัวเองนั่นก็คือ ‘The Muse of Manila’ (‘สาวคิดมากแห่งมะนิลา’) ซึ่งมาจากการที่เธอเคยโต้แย้งและต่อว่าคณะกรรมการการตัดสินการประกวดนางงามเมื่อปี 1954 แล้วมันก็ติดตัวเธอมาตั้งแต่ตอนนั้น

   ทุกครั้งที่มาร์กอสออกปราศรัยหาเสียง เขามักจะพาอีเมลดาไปด้วย ซึ่งส่วนมากผู้คนที่ไปฟังปราศรัยหาเสียงของมาร์กอสมักจะไปแค่ดูหรือฟังอีเมลดาเท่านั้น แน่นอนว่าเพราะอีเมลดาอีกเหมือนกันที่ทำให้มาร์กอสผู้เป็นสามีค่อนข้างมีปฏิสันถารกับผู้นำชุมชนต่างๆ เพราะอีเมลดามักจะหาข้อมูลช่วยเหลือสามีอยู่เสมอ



เฟอร์ดินันท์ มาร์กอส(ซ้าย) กับ ดิออสดาโด มากาปากัล (ขวา)

  การเลือกตั้งในฟิลิปปินส์ที่จัดขึ้นในปี 1965 ส่งให้เฟอร์ดินันท์ มาร์กอสขึ้นเป็นประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์แทนที่ ดิออสดาโด มากาปากัล ประธานาธิบดีเดิมของฟิลิปปินส์ ด้วยคะแนนร้อยละ 51 ต่อ ร้อยละ 48 หลังจากการขึ้นสู่อำนาจของมาร์กอส แต่ก่อนที่จะเอาอำนาจอันหอมหวานมาอย่างจริงจัง มาร์กอสต้องทำในสิ่งที่เคยสัญญาไว้กับประชาชนชาวฟิลิปปินส์ก่อน

  การกู้ยืมเงินจากต่างประเทศจึงเริ่มขึ้นเมื่อทางรัฐบาลฟิลิปินส์ได้ขอกู้ยืมเงินเพื่อเอาไปปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังแย่อยู่ในตอนนี้ การกู้ยืมในครั้งนี้ยืมมาเป็นจำนวนเงินหลายพันล้าน เพื่อเอาไปปรับปรุงทุกสิ่งทึุกอย่างในประเทสทั้งถนน รวมทั้งยังส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม และความเป็นอยู่ของประเทศจากเงินเหล่านี้ด้วย โดยจำนวนเงินเหล่านี้ประเทศฟิลิปปินส์ยังใช้หนี้ไม่หมด และต้องจ่ายหนี้เหล่านี้ไปจนถึงปี 2025 

  ความนิยมในตัวของท่านผู้นำฟิลิปปินส์คนนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างมากภายในเวลาไม่กี่ปี การเปิดประเทศให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนโดยผ่านการใช้นโยบาย "เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ" ส่งผลทำให้ชาวต่างชาติหันมาลงทุนในฟิลิปปินส์มากขึ้น และการกู้เงินเพื่อเอามาพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นถนน ไฟฟ้า น้ำประปา หรือระบบขนส่งมวลชน การศึกษา การรักษาพยาบาล ทุกอย่างดีขึ้นจากหลังเท้าเป็นหน้ามือ แต่ทว่ามันก็เป็นเหมือนดาบสองคมเพราะภายใต้ความนิยมอย่างล่นหลาม ประธานาธิบดีมาร์กอสกำลังถูกจับตามองในประเด็นการทุจริตจากเงินกู้ที่ยืมมา และเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ที่ภายนอกจะดูคึกคักแต่มันกำลังฉุดฟิลิปปินส์ลงในแบบที่ไม่สามารถจะกลับไปจุดเดิมได้อีก


เผด็จการใต้กฏอัยการศึก

   ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ที่จัดขึ้นในปี 1969 นั้น เฟอร์ดินันท์ มาร์กอสได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ฟิลิปปินส์โดยการเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่สามารถก้าวเข้าสู่สมัยที่ 2 ได้เป็นคนแรกในประวัติสาสตร์ฟิลิปปินส์ แต่ไม่ใช่แบบธรรมดานะ เป็นการก้าวสู่สมัยที่ 2 แบบถล่มทลายการเลือกตั้งในปี 1969 ประชาชนพร้อมใจกันเลือกมาร์กอสอย่างล้นหลาม และนั่นทำให้มาร์กอสรู้สึกถึงความหอมหวานของอำนาจ และเริ่มออกลายถึงนักการเมืองทุจริตชนิดที่ว่าจากหน้ามือเป็นหลังตีนเลยทีเดียว

การประท้วงประธานาธิบดีมาร์กอสช่วงปี 1970
   การทุจริตที่เกิดขึ้นในสมัยแรก และข่าวลืมการทุจริตการเลือกตั้งที่มีอย่างหนาหูในช่วงนั้น ส่งผลทำให้ในปี 1970 คลื่นนักศึกษาและประชาชนขนานใหญ่ได้ร่วมกันออกมาเดินขบวนต่อต้านการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาร์กอส ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่มีการประท้วงเกิดขึ้น การประท้วงนี้นั้นเป็นไปอย่างสันติ แต่เมื่อสันติทำอะไรไม่ได้ ความรุนแรงจึงเริ่มขึ้นกลุ่มผู้ประท้วงเริ่มใช้ความรุนแรงแก่เจ้าหน้าที่ที่ปราบการชุมนุม พรอมใช้กำลังหมายจะยึดทำเนียบประธานาธิบดีให้ได้ หนักสุดก็คือ กลุ่มนักศึกษาที่มาประท้วงได้ขับรถบรรทุกแก๊สพุ่งชนรั้วของทำเนียบประธานาธิบดี

   การประท้วงที่ทวีความรุนแรงขึ้น และการใช้กำลังเพื่อหมายปองชีวิต และทำลายทรัพย์สินของประธานาธิบดีทำให้เฟอร์ดินันท์ มาร์กอส ชายผู้รับคะแนนนิยมของประชาชนอย่างท้วมท้น หันหน้าเข้าสู่การเป็นเผด็จการและคว้ำโอกาสที่จะได้ใช้อำนาจอย่างไม่มีขีดจำกัด หลังเขาประกาศกฏอัยการศึกทั่วประเทศในเดือนกันยายนปี 1972 

  ในม่านของกฏอัยการศึกนั้น มาร์กอสได้เถลิงอำนาจอย่างเต็มที่ เขากับภรรยาของเขาอีเมลดา กลายเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดของฟิลิปปินส์ สร้างสถานะที่ใครจะละเมิดมิได้แบบที่ผู้นำเผด็จการเขาทำการ บวกกับการที่สหรัฐในตอนนั้นหนุนหลังฟิลิปปินส์ในฐานะลูกรักอย่างเต็มที่ โดยโนสนโนแคร์กับสิ่งที่คุณและคุณนายมาร์กอสทำกับประเทศ แน่นอนว่าภายใต้กฏอัยการศึกนี้ใครก็ตามที่ยืนอยู่คนละข้ากับมาร์กอสไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามหรือแม้แต่ประชาชนที่ประท้วงหาประชาธิปไตยย่อมถูกโยนเข้าซังเต ในข้อหาเป็นปฏิปักตร์กับผู้นำเผด็จการนั่นเอง

  ภายใต้กฏอัยการศึก การทุจริตจากการใช้อำนาจในทางที่ผิดของทั้งมาร์กอสและอีเมลดาส่งผลมากขึ้น และทำให้ระบบเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ค่อนข้างที่จะบอกได้เลยว่า"แย่มาก"แต่ก็อย่างที่บอกทั้งสองโนสนโนแคร์และยังปกครองฟิลิปปินส์ในฐาานะเผด็จการที่ยังคงได้รับความนิยมจากประชาชน(บางส่วน)อยู่ ถึงกระนั้นระบบเผด็จการภายใต้กฏอัยการศึกก็ไม่สามารถที่จะประกาศใช้ได้ตลอดไป กำหนดการมาเยือนฟิลิปปินส์ของพระสันตปะปาจอห์น พอลที่ 2 ทำให้การประกาศกฏอัยการศึกสะเทือน จากการมาเยือนของสันตปะปาในครั้งนี้ทำให้กฏอัยการศึกที่ฟิลิปปินส์ประกาศใช้มา 9 ปีต้องสิ้นสุดลง


พระสันตปะปาเสด็จเยือนฟิลิปปินส์และพบกับปธน.เฟอร์ดินันท์ มาร์กอส

 การยกเลิกการใช้กฏอัยการศึก และรัฐธรรมนูญบางส่วนก็ถูกแก้ไขเพิ่มเติม นำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี ที่จัดขึ้นในวันที่ 16 มิถุนายน 1981 โดยมาร์กอสต้องลงแข่งกับอเลโจ้ ซานโตสตัวแทนจากพรรคเก่าของมาร์กอสอย่างพรรคนาซิโอนาลิสตา ส่วนพรรคเก่าอย่างพรรคเสรีนิยมบอยคอตการเลือกตั้งในครั้งนี้ เพราะเห็นว่ามันไม่ชอบธรรม

อเลโจ้ ซานโตส (ซ้าย) กับ เฟอร์ดินันท์ มาร์กอส (ขวา)

 การเลือกตั้งครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่มาร์กอสได้รับคะแนนเสียงอย่างถล่มทลาย มีคะแนนเสียงจากทั่วประเทศที่สนับสนุนมาร์กอสถึงกว่า 88 เปอร์เซ็น และนั่นก็ทำให้เขายังคงอ้างถึงเสียงและคะแนนนิยมของประชาชนตลอดเวลา แม้ว่าสิงที่เขาทำในตอนประกาศกฏอัยการศึกนั้นจะเป็นเรื่องผิดต่อหลักการประชาธิปไตยก็ตาม 

เบนิกโน อากีโนผู้เขย่าบัลลังก์ของมาร์กอส
      ความจริงก็ไม่เชิงที่จะใช้คำว่าผู้เขย่าบัลลังก์นักหรอก เพราะเขาก็ไม่ได้ทำอะไรหรือเรียกร้องต่อมาร์กอส หรือเป็นหัวหน้าม็อบเป่านกหวีดไล่ประธานาธิบดีหน้าทำเนียบ แต่เบนิกโน อากีโนเป็นผู้เขย่าอำนาจจากการโดนกระทำจากรัฐบาล เบนิกโน อากีโน เป็นนักการเมืองฝ่ายค้านที่โดนจับก่อนถูกปล่อยตัวออกมาในปี 1980 ซึ่งเขาได้หลบหนีไปอยู่สหรัฐเป็นเวลา 3 ปี ก่อนกลับมายังฟิลิปินส์อีกครั้ง แต่การกลับมาในครั้งนี้ ก็เป็นการกลับมาครั้งสุดท้ายเพราะหลังจากเขาลงเครื่องไม่นาน เขาก็ถูกลอบยิงจากชายผู้แต่งเครื่องแบบทหารในทันที การลอบสังหารผู้นำฝ่ายค้านชื่อดังนี้นำไปสู่ประเด็นทางการเมืองมากมาย และนำไปสู่การเปิดโปงถึงการรับสินบน ทุจริต คอรัปชั่นมากมายจากปากนนัการเมืองในรัฐสภาอีกมากมาย เรียกได้ว่าเพียงชีวิตเดียวที่ถูกสังหารนำไปสู่จุดจบของผู้นำเผด็จการได้

  โคราซอล อากีโน ภรรยาม้ายของเบนิกโน อากีโน ได้เริ่มออกมาประท้วงต่อต้านรัฐบาลในกรณีการเสียชีวิตของสามี การทุจริต คอรัปชั่น และการปกครองแบบเผด็จการ แน่นอนว่าการประท้วงในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมอย่างมากมายภายในเวลาอันสั้น เพียงไม่นานก็มีผู้เข้าร่วมการชุมนุมอย่างสันติเกือบจะหนึ่งล้านคน ซึ่งกลุ่มผู้ประท้วงเรียกการประท้วงและกลุ่มคนของตัวเองว่า "พลังประชาชน(People Power)

  แม้ภายใต้การประท้วงขนานใหญ่ที่เกิดขึ้นกลางกรุงมะนิลา เพื่อเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย และการถอดถอนประธานาธิบดีผู้ทุจริตคอรัปชั่นเป็นเวลากว่า 20 ปีนี้ออกจากตำแหน่ง แต่มาร์กอสก็ยังคงอางถึงคะแนนนิยมและเสียงของประชาชนที่เขาเลือกมาหนุนหลังอยู่ แต่เสียงของเขาไม่สามารถกลบความแค้นของประชาชนที่ออกมาต่อต้านเขาได้ ในที่สุดคะแนนนิยมของเขาก็ไม่สมารถช่วยอะไรได้ เฟอร์ดินันท์ มาร์กอสและอีเมลด้า มาร์กอสได้หนีออกนอกประเทศในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1986 พร้อมเงินสดอีกหลายล้านดอลล่าร์ไปยังฮาวาย แน่นอนไม่ต่างกับผู้นำคนอื่นๆ หลังการสิ้นสุดอำนาจมาร์กอสและภรรยาถูกดำเนินคดีเป็นจำนวนมาก พร้อมกับโดนอาญัติทรัพย์สินที่ทุจริตมาจนหมดเกลี้ยง

กลุ่มผู้ประท้วงในนาม "พลังประชาชน" จัดการประท้วงครั้งใหญ่ในปี 1986

ถ้าผิดพลาดประการใด ผู้ทำก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และสามารถช่วยเสริมความถูกต้องได้ในคอมเม้นต์นะครับ



ถ้าชอบบทความของเราอย่าลืมคอมเม้น กดติตตามหรือกดแชร์บทความของเรานะครับ



สนับสนุนผู้ทำบทความได้้ที่ TrueMoney Wallet 0642303231 (ขอขอบพระคุณมากครับ)


อ้างอิง

‘อิเมลดา มาร์กอส’ สตรีที่โลกเพิ่งนึกได้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่(2561). จากhttps://thematter.co
First term of the presidency of Ferdinand Marcos(2562) จากhttps://en.wikipedia.org
Biography of Ferdinand Marcos, Dictator of the Philippines(2562). จากhttps://www.thoughtco.com
ความไม่รู้ประวัติศาสตร์สร้างเผด็จการ-บทเรียนจากฟิลิปปินส์และทายาทเผด็จการมาร์กอส(2558). จากhttps://prachatai.com 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น