26/4/61

ราชอาณาจักรเมรีนา อาณาจักรแห่งมาดากัสการ์

       ราชอาณาจักรเมรีนาเป็นอาณาจักรในช่วงยุคก่อนอาณานิคม ซึ่งในปัจจุบันส่วนของอาณาจักรเมรีนาก็คือประเทศมาดากัสการ์ในปัจจุบัน พระมหากษัตริย์และพระราชินีนาถแห่งราชวงศ์เมรีนาปกครองอาณาจักรนี้มาว่า 90 ปี แต่ระบบกษัตริย์กษัตริย์ของเกาะมาดากัสการ์นั้นมีกษัตริย์ปกครองมากว่า 400 ปี แต่ในที่สุดราชอาณาจักรมารีนาแห่งนี้ก็ต้องสูญเสียเอกราชให้กับฝรั่งเศส ราชอาณาจักรเมรีนาจึงล่มสลายไปพร้อมกับระบบกษัตริย์ของเมรีนาด้วย



        อาณาจักรเมรีนาสถาปนาขึ้นโดยการรวมชนเผ่าอื่นๆ น้อยใหญ่ในมาดากัสการ์ ไม่ว่าจะเป็นการบังคับ สงครามหรือการเจรจา จนสามารถรวมชนเผ่าต่างๆได้เป็นอาณาจักรเดียวโดยผู้นำในการรวมเผ่าต่างๆ นั่นก็คือ พระเจ้าอันเดรียนนามโบอินีเมรีนาแห่งมาดากัสการ์ แล้วขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของอาณาจักรและราชวงศ์เมรีนา

ราชอาณาจักรเมรีนา
       ถึงแม้ พระเจ้าอันเดรียนนามโบอินีเมรีนาแห่งมาดากัสการ์จะรวมอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียวได้แต่ว่า ก็ยังมีอยู่บางส่วนที่ไม่ยอมมาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเมรีนา พระเจ้าราดามาที่ 1 จึงเป็นผู้ที่ปกครอง
ราชอาณาจักรมารีนาที่แท้จริงเพราะพระองค์สามารถปกครองเผ่าต่างๆ 2 ใน 3 ของเกาะมาดากัสการ์ได้สำเร็จ นอกจากนี้พระองค์ยังยอมรับอังกฤษมากกว่าฝรั่งเศสที่ทำสถานีการค้าอยู่แถวนั้นแต่ก่อน พระองค์ทรงสนพระทัยที่จะทำสัญญากับอังกฤษโดยการยกเลิกการค้าทาสและอนุญาติกับอังกฤษให้เหล่ามิชชันนารีเข้ามาเผยแผ่ศาสนาที่มาดากัสการ์ได้ และยังปฏิรูปประเทศให้มีความทันสมัยเทียบเท่าอังกฤษ นอกจากนี้แล้วพระองค์ยังนำวิทยากรจากอังกฤษเข้ามาปราบปรามเผ่าต่างๆ ที่ไม่ขึ้นตรงต่อกษัตริย์ และการที่เอาอังกฤษเข้ามาเป็นพวกก็เพื่อที่จะคานอำนาจกับฝรั่งเศสที่มีส่วนอยู่ที่เมรีนาด้วยเช่นกัน แต่ว่ากลุ่มอนุรักษ์นิยมในราชสำนักและขุนนางภายในประเทศ มองว่าการเข้ามาของศาสนาคริสต์จะเป็นการทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิม และการทำสนธิสัญญากับพวกอังกฤษจะเป็นการสูญเสียอธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศทีละน้อย ซึ่งกลุ่มนี้จะกลายเป็นกลุ่มสำคัญในการต่อต้านนโยบายของพระเจ้าราดามาที่ 1 เมื่อทรงสวรรคตแล้ว ซึ่งผู้ที่เป็นพวกหนึ่งของฝ่ายอนุรักษ์นิยมนั้นคือ องค์สมเด็จพระราชินีรามาโวที่ต่อมาขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระราชินีนาถรานาวาโลนาที่ 1 พระมเหสีของพระองค์นั่นเอง

พระเจ้ารามาดาที่ 1 แห่งมาดากัสการ์


       พอมาถึงสมัยของ พระราชินีนาถรานาวาโรนาที่ 1พระองค์ดำเนินนโยบายโดดเดี่ยว และตัดสัมพันธไมตรีกับชาวยุโรปและสนธิสัญญาสัมพันธไมตรีทางการค้าและการฑูตทั้งหมดที่ทำมาในสมัยของพระเจ้าราดามาที่ 1 ด้วย ว่ากันว่า 33 ปีในสมัยของพระองค์ เป็นสมัยของความโหดร้ายของมาดากัสการ์ เพราะถ้ามีใครคิดที่จะต่อต้านพระนางก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก นอกจากนี้พระองค์ไม่ค่อยชอบคริสต์ศาสนา เพราะว่า พวกเขาสวดเป็นประจำแต่ปฏิเสธที่จะเคารพพระเจ้าของพระนาง พวกเขาหลีกเลี่ยงการบูชาเทวรูป พวกเขารวมตัวกันสักการะอย่างซ้ำซาก ทำให้พระนางไม่ค่อยพอใจพวกคริสตศาสนิกชนเท่าไหร่  ทำให้พระนางสั่งหารโหดผู้คนที่นับถือศาสนาคริสต์ในอาณาจักรของพระองค์ทั้งหมด โดยการสังหารนั้นบ้างถูกจับตรึงเหมือนไก่และโยนจากยอดเนินเขาหลายๆครั้งจนกว่าจะตาย คนอื่นๆถูกราดด้วยเลือดและให้ฝูงสุนัขป่ารุมกินทั้งเป็น บ้างถูกอาวุธที่เป็นโลหะแบนๆเสียบทะลุเข้าไปในกระดูกสันหลังหลายๆแผ่นจนกว่าจะตาย บางคนอาจถูกตีตายก่อนที่จะตัดหัวเสียบประจาน บางถูกจับลงเป็นในน้ำที่ต้มเดือด บางคนถูกจับนอนแล้วให้หินกลิ้งลงมาทับ หนึ่งในวิธีประหารที่พระนางรานาวาโลนาทรงโปรดปรานที่สุดคือ การให้ดื่มยาพิษ หรือไม่ก็ขายให้เป็นทาส และพระองค์ก็ยังส่งเสริมการค้าทาสอีกด้วย

ภาพการสั่งหารหมู่ชาวคริสเตียนในเมรีนา
         หลังจากการสวรรคตของพระราชินีนาถรานาวาโลนาที่ 1 ทำให้พระเจ้าราดามาที่ 2 พระราชโอรสขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์ พระองค์ทำการฟื้นฟูอาณาจักรในทุกๆด้านที่พระราชมารดาทำไว้ในทางไม่ดี ยกเลิกการค้าทาส เปิดประเทศเสรีและเจริญสัมพันธไมตรีกับอังกฤษและฝรั่งเศสผ่านทางสนธิสัญญาลาบอร์ด ฝรั่งเศสมาลงทุนต่างๆในเมรีนาเพิ่มขึ้น และการกวาดล้างชาวคริสเตียนได้จบลง
         แต่ว่าอิทธิพลของผรั่งเศสในเมรีนานั้นแผ่กระจายไปทั่วอาณาจักร และการลอบปลงพระชนม์พระเจ้าราดามาที่ 2 ก็ทำให้ทางราชบัลลังต์สั่นคลอน และทำให้อิทธิพลของผรั่งเศสเพิ่มมากขึ้นอีก นอกจากนี้การสวรรคตของพระเจ้ารามาดาที่ 2 ก็ทำให้ขุนนางเริ่มมีอำนาจโดยเฉพาะ ไรนิไลอาริโวนี นายกรัฐมนตรีเมรีนาที่มีอิทธิพลสูงในมาดากัสการ์เพราะพระองค์แต่งงานกับพระราชินีนาถทั้งสามพระองค์ของอาณาจักรที่ขึ้นครองราชย์

ไรนิไลอาริโวนี 
    ในที่สุดในรัชสมัยของพระราชินีนาถรานาวาโลนาที่ 3 ฝรั่งเศสบุกเมรีนาหลังจากที่เมรีนายกเลิกสนธิสัญญาลาบอร์ด และเริ่มโจมตีเมืองต่างๆตามชายฝั่ง ซึ่งอาณาจักรเองเสียเปรียบทั้งทางจักรวรรดิอังกฤษและจักรวรรดิฝรั่งเศส และในที่สุดฝรั่งเศสก็สามารถยึดเมืองท่าริมทะเลได้ และประกาศสงครามฝรั่งเศส-มาลากาซี ครั้งที่ 1 ขึ้นในปี ค.ศ.1883 ถึงแม้จะมีการพยายามเจรจากัน แต่ข้อสรุปของการเจรจาแต่ละครั้งก็จบลงโดยการโต้แย้ง จนในที่สุดฝรั่งเศสส่งกงสุลคนใหม่เข้าประจำการที่กรุงอันตานานาริโว พร้อมยื่นคำขาดที่ว่าให้รับรองสิทธิของชาวฝรั่งเศสในบริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโดยฝรั่งเศสจะรวมซากาลาวาเป็นรัฐในอารักขา เมรีนาต้องยินยอมที่จะจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามเป็นจำนวนเงิน 1,500,000 ฟรังก์ ซึ่งทางฝั่งเมรีนายอมทำตามสนธิสัญญาแต่โดยดี ส่งผลทำให้เมรีนากลายเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส แต่ฝรั่งเศสก้ไม่สามารถครอบครองอาณาจักรได้อย่างสมบูรณ์ ในปีค.ศ.1894 ฝรั่งเศสไดส่ง ชาร์ลส์ เลอ แมร์ เดอ วิแยร์ มาข่มขู่ให้พระราชินีและรัฐบาลให้ทรงยอมรับในสนธิสัญญาที่ให้ฝรั่งเศสครอบครองประเทศอย่างสมบูรณ์ แต่พระนางทรงปฏิเสธและเพิกเฉยต่อคำขู่โดยสิ้นเชิง ทำให้ฝรั่งเศสประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกัยเมรีนาในเดือนพฤศจิกายน จากนั้นก็ประกาศสงครามฝรั่งเศส-มาลากาซีครั้งที่ 2
กองทัพฝรั่งเศสในสงครามผรั่งเศส-มาลากาซีครั้งที่ 2
     หลังจากฝรั่งเศสประกาศสงคราม  ฝรั่งเศสได้ทิ้งระเบิดและยึดครองอ่าวโทอามาซินาทางชายฝั่งตะวันออก และมาฮาจันกาทางชายฝั่งตะวันตกได้ในอีกเดือนถัดมา ต่อมาก็เริ่มบุกเมืองหลวงในปี ค.ศ.1895 แต่ว่าก็ต้องสูญเสียพลทหารไปมากกว่าจะถึงกรุงอันตานานาลิโว เพราะโรคมาลาเรียทำให้กองทัพกว่า 6000 คนต้องเสียไป จึงต่งเรียกกำลงพลเสริมจากนิคมอื่นของฝรั่งเศสมาช่วย กรุงอันตานานาลิโว สามารถยื้อกองทัพของฝรั่งเศสได้หลายวัน ฝรั่งเศสเห็นว่าทำยื้อการต่อสู้นี้ต่อไปทหารฝรั่งเศสอาจจะตายเพราะขาดเสบียงหรือไม่ก็โรคละบาดอีก จึงทำการส่งเครื่องบินระเบิดทิ้งระเบิดใส่กรุงอันตานานาลิโว โดยระเบิดทำลายสิ่งสำคัญหลายแห่งภายในเมืองในที่สุด พระราชินีนาถรานาวาโรนาที่ 3 ก็ประกาศสละราชสมบัติ ราชอาณาจักรเมรีนาแพ้สงคราม และกลายเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในที่สุด

ภาพโปสเตอร์ที่แสดงถึงการเป็นอาณานิคม
ของมาดากัสการ์
      ฝรั่งเศสยึดครองเมรีนาอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1896 สมเด็จพระราชินีนาถและฝ่ายบริหารของพระนางยังคงดำรงอยู่ โดยถูกยึดพระราชอำนาจทางการเมือง และอดีตนายกรัฐมนตรีไรนิไลอาริโวนีได้ถูกเนรเทศไปอยู่เเอลเจีย แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็เกิดกบฏผ้าคลุมแดงขึ้น โดยผู้คนที่ทำกบฎจะใส่ผ้าคลุมสีแดงไว้ที่ใหล่และปฏิบัติการแบบกองโจรเพื่อขับไล่พวกยุโรปออกไป ซึ่งส่วนใหญ่ที่ทำการกบฏเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่หลังจากนั้นไม่นานกบฎก็ถูกจับ ในปี ค.ศ.1897 พระบรมวงศานุวงศ์ที่เปนผู้ชายเกือบทั้งหมดโดนประหารชีวิต ส่วนพระราชินีนาถโดนเนรเทศออกจากประเทศไปเรอูเนียง เป็นอันจบสถาบันพระมหากษัตริย์ของเมรีนาที่ปกครองมาดากัสการ์มากว่า 400 ปี และอาณาจักรเมรีนาก็ล่มสลายด้วยเช่นกัน

พระราชินีนาถรานาวาโลนาที่ 3 พสกนิกรชาวมาลากาซีผู้จงรักภักดีนับพันใน ค.ศ.1896


ไรนิไลอาริโวนีขณะอยู่ในแอลเจีย ปี1896



อ้างอิง
https://th.wikipedia.org
Facebook เพจ ประวัติศาสตร์ สถาบันกษัตริย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น